วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตำนาน มนุษย์หมาป่า (Werewolf)

 
มนุษย์หมาป่า (Werewolf) เป็นผีจำพวกเดียวกับแวมไพร์และมีพฤติกรรมคล้ายกัน คือ ดื่มกินเลือดและเนื้อของมนุษย์และสัตว์อื่นเป็นอาหาร เป็นความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ของชาวยุโรปในยุคกลาง โดยที่เชื่อว่า บุคคลที่เป็นมนุษย์หมาป่าจะกลายร่างเป็นหมาป่าในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง อาจจะแปลงร่างเป็นหมาป่าทั้งตัวเลยก็ได้ หรือครึ่งคนครึ่งหมาป่า หรือแม้กระทั่งแปลงเป็นสัตว์ป่าชนิดอื่น เช่น หมี เป็นต้น โดยที่วิธีการฆ่ามนุษย์หมาป่าจะคล้าย ๆ กับแวมไพร์ โดยตอกด้วยลิ่ม หรือเผา ที่เห็นบ่อยโดยเฉพาะในภาพยนตร์ก็คือ การยิงด้วยกระสุนที่ทำจากเงินหรือกระสุนผ่านการปลุกเสก มนุษย์หมาป่าก็แพ้แสงแดด[ต้องการแหล่งอ้างอิง] และถูกตามล่าเหมือนกับแวมไพร์

เป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องมนุษย์หมาป่านั้น มีที่มาจากความกลัวหมาป่า โดยเฉพาะหมาป่าที่พบในยุโรป ที่มีลำตัวขนาดใหญ่ และมักออกล่าเป็นฝูง โดยอาจดักซุ่มโจมตีมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงในเวลากลางคืน ผนวกกับความเชื่อและความหวาดกลัวบุคคลนอกสังคม ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจ อย่างแม่มดหรือแวมไพร์ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เรื่องมนุษย์หมาป่านั้น แท้จริงแล้วคือ สัญชาตญาณสัตว์ป่าที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ รากศัพท์ที่มาของคำว่า มนุษย์หมาป่า นั้น Were เป็นภาษาอังกฤษโบราณที่หมายถึง "มนุษย์" นั่นเอง และความเชื่อเรื่องของมนุษย์ที่กลางร่างเป็นกึ่งคนกึ่งสัตว์ที่มีทั่วทุกมุมโลก เช่น ในอเมริกาใต้มีมนุษย์งูเหลือม หรือมนุษย์จระเข้ ที่แอฟริกามีมนุษย์เสือดาว หรือเสือดำ หรือปีศาจช้าง ที่อินเดียมีมนุษย์สิงโต หรือ "นรสิงห์" นั่นเอง หรือในเทพปกรณัมกรีก ก็มีเรื่องของชายผู้หนึ่งที่ถูกเทพซุสสาบให้กลายเป็นหมาป่า ชื่อ "Lycaon" มนุษย์บางเผ่าเช่น ไวกิ้ง เชื่อว่า ตนสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ป่าดุร้ายบางชนิดได้เวลาสู้รบ เป็นต้น และตามสถิติที่เก็บได้ บ่งว่า คืนวันพระจันทร์เต็มดวงนั้น มีแนวโน้มที่จะเกิดอาชญากรรมมากกว่าคืนทั่วไป ทั้งนี้เชื่อว่า อาจเป็นเพราะอิทธิพลของดวงจันทร์
เรื่องราวของมนุษย์หมาป่า ถูกเล่าขานมาจนปัจจุบัน และสะท้อนออกมาในรูปแบบของวรรณกรรม เช่น ภาพยนตร์ หรือ ละคร หรือแม้แต่กระทั่งการ์ตูน เป็นต้น

นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า มนุษย์หมาป่านั้น แท้ที่จริงก็คือสัญชาตญาณของสัตว์ป่าที่มีอยู่ในตัวมนุษย์บางคนนั่นเอง คำว่า WEREWOLF ที่หมายถึงมนุษย์หมาป่านั้นก็มาจากคำว่า
เวอร์ (WERE) ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษโบราณแปลว่า “คน” และแทบจะทุกชาติทุกภาษาก็จะมีตำนานของคนที่กลายเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ มากมาย เช่น รัสเซียกับสแกนดิเนเวียจะมี “มนุษย์หมี” บางประเทศที่ไม่มีหมาป่าก็อาจมีมนุษย์สิงห์ มนุษย์จระเข้ มนุษย์จิ้งจอก อาทิ ในปี ค.ศ.1933 แพทย์อังกฤษคนหนึ่งได้รายงานว่าเขาได้เห็นชาวแอฟริกา 2 คน แปรร่างกลายเป็นหมาจิ้งจอกในระหว่างการทำพิธีกรรมทางศาสนา

สำหรับในเอเชียของเรา เช่น อินเดีย จะมีการพูดถึงมนุษย์เสือ ซึ่งก็อาจเป็นประเภทเดียวกับเสือสมิงของไทยเรานะครับ นอกจากนี้ก็มี “มนุษย์งู” ทางแถบอเมริกาใต้ โฮ้ย…แทบทุกประเภทสัตว์ละครับ ทีนี้ทำไมคนเราถึงอยู่ๆ ก็กลายร่างเป็นหมาป่าไปได้ จากการค้นคว้าในตำนานพบว่าเกิดขึ้นได้จากการใช้คาถาปลอมแปลงตัว บางรายใช้น้ำมันศักดิ์สิทธิ์ลูบไล้ร่างกาย และประกอบกับการสวมเสื้อคลุมหนังหมาป่า หรือเอาเข็มขัดหนังหมาป่ามาคาดเอว แต่ที่มักจะตรงกันก็คือเขาผู้นั้นจะกลายร่างในคืนวันเพ็ญ
ผสมผสานกับการได้กลิ่นอายของดอกไม้พิเศษบางชนิด ร่างกายเขาผู้นั้นจะปรากฏขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุมหูจะยาวตั้งตรงชี้ฟ้า และเขี้ยวแหลมคมงอกออกมาจากปาก ดวงตาโชนแดงฉานเมื่อต้องแสงไฟ ครั้นแล้วเขาก็จะออกล่าเหยื่อเพื่อกินเนื้อสดๆหรือดื่มเลือดทั้งเป็น

จากบันทึกในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส สามารถสืบย้อนหลังไปได้ถึงใน ค.ศ.1573 เมื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งต้องหวาดผวาจากการมีเด็กหลายคน ถูกสังหารและฆาตกรได้กินเนื้อหนังศพ ทางการจับผู้ต้องสงสัยได้นามว่า กิลส์ การ์นิเยร์ เขาต้องยอมรับสารภาพเนื่องจากถูกทรมาน แล้วก็เลยโดนลงทัณฑ์ด้วยการเผาทั้งเป็น

ต่อมาไม่นานคือ ค.ศ.1589 คราวนี้ที่เยอรมัน เมื่อชายชื่อ ปีเตอร์ สตับบ์ ถูกตั้งข้อหาว่าปลอมแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าโดยใช้เข็มขัดหนังหมาป่ามาคาด เขาได้กระทำฆาตกรรมทั้งบุรุษ สตรี และเด็กๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 25 ปีก่อนจะถูกจับ สตับบ์รับสารภาพและให้การว่า สำหรับผู้หญิงนั้น เขาลงมือข่มขืนก่อนแล้วจึงฆ่า จากนั้นจึงกินศพของเธอ สตับบ์ถูกตัดสินให้ประหารอย่างต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสก่อนจะสิ้นใจ

แต่รายที่เกรียวกราวที่สุดเห็นจะได้แก่เด็กหนุ่มวัยแค่
14 ปี นาม ชอง เกรนิเยร์ ซึ่งก่ออาชญากรรมอยู่ในแถบมณฑลบอโดซ์, ฝรั่งเศส เขาสารภาพว่าได้กินเนื้อเด็กที่ถูกเขาฆ่ามากกว่า 50 คน ระหว่างให้การในศาลนั้นเขาได้สร้างเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ร่วมฟังคดี เพราะเล่าว่า เขาเคยไล่ล่าหญิงชราผู้หนึ่งแล้วก็พบว่าเนื้อเหี่ยวย่นของนางนั้น “เหนียวเหมือนหนังควาย” นอกจากนี้ยังเล่าอีกว่าสำหรับเด็กเล็กๆ นั้น พอถูกเขากัดคำแรกก็จะร้องโหยหวนจนแสบแก้วหูด้วยความเจ็บปวด

คดีนี้หนแรกเกรนิเยร์ถูกพิพากษาให้เผาทั้งเป็น หากทว่าพอเรื่องขึ้นถึงศาลสูง ผู้พิพากษารับฟังคำให้การของเกรนิเยร์ที่ว่า “ตอนผมอายุ 10 ขวบ เพื่อนบ้านได้พาผมไปพบกับเจ้าป่าผู้หนึ่ง ท่านได้ มอบหนังสุนัขป่าให้แก่ผม ตั้งแต่นั้นผมก็ออกล่าเหยื่อไปทั่ว” ผู้พิพากษาได้ปรึกษากับจิตแพทย์แล้วสรุปว่าเกรนิเยร์ นั้นป่วยจากอาการประสาทหลอนจึงไม่มีความผิด และส่งเด็กหนุ่มไปอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งตลอดชีวิต

นอกจากมนุษย์หมาป่าเดี่ยวๆ แล้ว ที่ฝรั่งเศสก็ยังมีชนเผ่ามนุษย์หมาป่า ที่เรียกขานกันว่าพวก ลูแปง อีกด้วย ร่ำลือกันว่าคนพวกนี้มีถิ่นฐานอยู่ที่นอร์มังดี ในยามค่ำคืนพวกเขาจะจับกลุ่มกันสนทนาด้วยภาษาแปลกๆ ชอบยืนพิงกำแพงสุสานของเมือง หากทว่ามนุษย์หมาป่าลูแปงกลัวเกรงมนุษย์และจะหลีกลี้หนีไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ผ่านมา ว่ากันว่าพวกลูแปงจะใช้มือเปล่าๆ ขุดคุ้ยหลุมศพและโลง แล้วเอากระดูกศพขึ้นมาแทะ

สำหรับมนุษย์ที่แปลงร่างเป็นหมาป่า ในคืนเพ็ญและออกอาละวาดนั้น เขาจะคืนร่างกลับเป็นคนเดิม หรือเราจะมีวิธีป้องกันตัวเองให้พ้นภัยจากพวกนี้ได้อย่างไร ตามตำนานระบุว่า มนุษย์หมาป่าจะคืนร่างโดยอัตโนมัติในยามอาทิตย์อุทัย และแทบทุกตำนานกล่าวตรงกันว่าร่างของพวกเขา จะกลับเป็นคนธรรมดาทันทีเมื่อได้รับบาดเจ็บ หรือถูกฆ่าตาย
บางรายมีบันทึกว่ามีผู้ยิงถูกมนุษย์หมาป่าและต่อมาก็พบว่าชายผู้หนึ่งในหมู่บ้านมีบาดแผลที่ตำแหน่งเดียวกับหมาป่าที่ถูกยิง

แม้มนุษย์หมาป่าจะดูน่าเกรงขาม แต่ตำนาน ส่วนใหญ่เชื่อว่า การตามล่าและสังหารพวกเขานั้นไม่ยาก ไม่ต่างอะไรกับการไล่ล่าหมาป่าธรรมดาๆ มีหลายเรื่องของยุโรปที่เขียนบอกไว้ถึงการสังหารมนุษย์หมาป่า ด้วยการยิง ทุบตี และแทงด้วยมีด ทว่าก็มีบางตำนานเหมือนกันที่แย้งว่ามนุษย์หมาป่านั้น มีวิญญาณปิศาจสิงอยู่จึงไม่อาจถูกฆ่าด้วยวิธีทั่วไป ทั้งนี้ ในอังกฤษ สกอตแลนด์ และฝรั่งเศส เชื่อว่ามนุษย์หมาป่าจะไม่ตายด้วยกระสุนปืนธรรมดา จะฆ่าได้ก็ด้วยกระสุนปืนที่ทำจากโลหะเงินเท่านั้น โดยเฉพาะถ้ากระสุนเงินนั้นผ่านการลงคาถาอาคมมาแล้ว

ในยามที่ต้องเผชิญหน้าจ๊ะเอ๋กับมนุษย์ หมาป่าโดยบังเอิญ ท่านว่าให้รีบตะโกนเรียกชื่อเขาผู้นั้น (ถ้าเรารู้ว่าเป็นใครที่เปลี่ยนร่าง)
สามครั้ง เขาก็จะรู้สึกตัวและกลับคืนสู่ร่างเดิม หรือถ้าหากสามารถทำให้เขาเลือดออกถึงสามหยดก็จะได้ผลเช่นกัน สำหรับตัวมนุษย์หมาป่าเอง ถ้าหากอยากคืนกลับเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างถาวร ก็จะต้องงดเว้นการกินเนื้อมนุษย์เป็นระยะเวลาเก้าปีเต็ม แล้วอำนาจปิศาจที่สิงสู่ก็จะมลายหายไป

ที่มา:http://www.tumnandd.com/

ตำนาน นารีผล


นารีผล หรือมักกะลีผล หรือมัคคะลีผล เป็นพืชวิเศษชนิดหนึ่ง เกิดอยู่ในป่าหิมพานต์ ว่ากันว่า นารีผล ขั้วลูกอยู่ด้านบนศีรษะ มีรูปร่างเป็นหญิง ผลสด รูปร่างสะโอดสะอง สมส่วน ผิวพรรณงดงาม ปานเทพธิดา

ข้าพเจ้า เคยได้ยินเรื่องเล่าถึงนารีผล ในใจก็ใคร่อยากชมดูอยู่เหมือนกัน แต่จนใจ เราไม่มีตาทิพย์ ไม่มีฤทธิ์ จึงมิอาจไปชมดูได้... จึงได้แต่ตั้งจิตอธิษฐาน ขอเห็นในนิมิตฝันก็ยังดี... เมื่อจิตเป็นสมาธิดี เกิดนิมิตขึ้น ก็ได้เห็นนารีผลจริงๆ แต่เป็นนารีผล ที่มีใครไม่ทราบเด็ดมาจากต้นแล้ว นั่นคือข้าพเจ้า ไม่ได้เห็นต้นนารีผล เห็นเพียงร่างนารีผล ที่นอนเปลือยเปล่าอยู่พื้นหินแห่งหนึ่ง เท่านั้น... แต่นิมิต ก็คือภาพนิมิต ไม่ใช่ความจริง ไม่เหมือนเห็นด้วยตาจริง เชื่อถือไม่ได้...

ข้าพเจ้าได้ยินมาว่า

เมื่อประมาณหลายหมื่นปีก่อน ครั้งที่พระเวสสันดร พระนางมัทรี พร้อมด้วยบุตร ๒ คนคือ ชาลีกุมาร และ กัณหาชิณากุมารี ถูกเนรเทศจากนคร ได้เดินทางสู่ป่าหิมพานต์ และบำเพ็ญเพียร ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั้น

ที่ป่าหิมพานต์ มีสัตว์ป่ามากมายอันตรายรอบด้าน ทว่า สัตว์ป่าทั้งหลาย เมื่อได้รับเมตตาจิตจากพระเวสสันดร ก็คลายความดุร้ายลง กลายเป็นมิตร ... นอกจากสัตว์ป่าทั้งหลายแล้ว ก็ยังมีดาบส ฤๅษี นักสิทธิ์ วิทยาธร คนธรรพ์ ทั้งหลายอาศัยอยู่ หรือไปมาอยู่เรื่อยๆ พระนางมัทรี ผู้มีรูปร่างโสภา บางครั้งออกหาอาหาร หาผลไม้ตามลำพังคนเดียว หากนักสิทธิ์ วิทยาธร ตลอดถึงฤๅษี มาพบเข้า อาจตบะแตก แล้วล่วงศีลได้...

ท้าวสักกะเทวราช ซึ่งเป็นพระอินทร์ เล็งเห็นเหตุร้ายนี้แล้ว เพื่อเป็นการป้องกัน พระองค์จึงเนรมิต ต้นไม้วิเศษ ไว้รอบทิศ ณ ที่ไกล ก่อนถึงถิ่นแดน อันเป็นที่พำนักของพระเวสสันดรและนางมัทรี รวม ๑๖ ต้น

ต้นไม้วิเศษนี้ ออกผลซึ่งมีรูปร่างเหมือนสตรี ผลโตเต็มที่ จะมีทรวดทรงปานสาวงามแรกรุ่น แต่ผิวพรรณ ทรวดทรงองค์เอว รูปร่างหน้าตา งดงามปานเทพธิดา...

ว่ากันว่า จริงๆ แล้ว ผลหนึ่งผล ก็คือรุกขเทพธิดาหนึ่งนาง หรือ เมื่อต้นนารีผลออกดอก เสมือนเกิดวิมานแห่งรุกขเทพธิดาขึ้นที่นั่น เมื่อติดลูก ก็คือเทพธิดาจุติลงมาเกิดที่นั่น ความสวยงามสมบูรณ์แห่งผลนารีผล แต่ละผล จึงสวยงามต่างกัน ขึ้นอยู่กับบุญของเทพธิดาแต่ละนางด้วย...

เมื่อเหล่านักสิทธิ์ วิทยาธร เดินทางมาพบเข้า หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ตบะแตก ก็จักได้เสพบำเรอกับนารีผล... เมื่อตบะแตก ฤทธิ์เสื่อม เหาะไปต่อไม่ได้ ... เมื่อไปต่อไม่ได้ ก็ไม่มีทางจะได้พบกับพระนางมัทรี.... การจะเดินทางต่อ หรือออกไป จำต้องบำเพ็ญเพียรใหม่ ยกระดับจิตขึ้นแล้ว จึงกลับออกมาได้....

นี่คือด่านป้องกัน ไม่ให้ใครไปล่วงศีลกับพระนางมัทรี และเทพธิดาที่จุติไปเกิดที่นารีผล แต่ละนางก็ไปด้วยกรรมของตน มิได้บังคับไปแต่อย่างใด

แม้ว่า พระเวสสันดร พระนางมัทรี จะเสด็จออกจากป่าเข้าเมืองไปแล้ว ต้นนารีผล ก็ยังคงมีอยู่ในที่นั้น ตราบเท่าทุกวันนี้ ยังมีดอกหอมกรุ่น มีนารีผลห้อยระย้าอยู่ดังเดิม แม้ลูกที่หมดอายุขัยจะร่วงหล่นเหี่ยวเฉาไป ลูกใหม่ก็ขึ้นมาแทนที่ไม่ได้ขาด

ว่ากันว่า บางครั้ง ฤๅษีที่บำเพ็ญเพียรจนตบะกล้า กิเลสสงบรำงับ เพื่อจะทดสอบจิตตน ก็จะเหาะไปที่ต้นนารีผล มองดูนารีผล ว่าตนจะตบะแตกหรือไม่... หรือบางครั้งฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ อาจจะพาลูกศิษย์ไปทดสอบระดับจิต ไปฝึกควบคุมจิต ที่นั่น ก็มี

และว่ากันว่า พวกนักสิทธิ์วิทยาธร มักจะเหาะไปเก็บนารีผล อุ้มมาเชยชมแล้ว ฝึกจิตใหม่ ค่อยเหาะกลับออกมา

นารีผล เป็นที่ต้องการของสัตว์วิเศษ (คนธรรพ์เป็นต้น) รวมถึงวิทยาธรทั้งหลายผู้ยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น การที่นารีผลจะเหี่ยวแห้งคาต้นแล้วร่วงหล่นนั้น เป็นไปได้ยาก ก่อนจะโรยรา จะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร เป็นต้นมาเก็บเอาไป







มีเรื่องราวในอรรถกถาเกี่ยวกับนารีผลตอนหนึ่งว่า

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ณ กาสิกรัฐ เจริญวัยแล้ว ถึงความสำเร็จในสรรพศิลปศาสตร์แล้วบวชเป็นฤๅษี มีมูลผลาผลในป่าเป็นอาหาร ยังอัตภาพให้เป็นไปในป่ากว้าง. ครั้งนั้น แม่เนื้อตัวหนึ่ง เคี้ยวกินหญ้าอันเจือด้วยน้ำเชื้อ ในสถานที่ปัสสาวะของพระดาบสนั้นแล้วดื่มน้ำ.

และด้วยเหตุเพียงเท่านี้เอง มันมีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ในพระดาบส จนตั้งครรภ์ นับแต่นั้นมาก็ไม่ยอมไปไหน เที่ยวอยู่ใกล้ ๆ อาศรมนั่นเอง. พระมหาสัตว์กำหนดดูก็รู้เหตุนั้นทั่วถึง ต่อมา แม่เนื้อคลอดบุตรเป็นมนุษย์. พระมหาสัตว์จึงเลี้ยงทารกนั้นไว้ด้วยความรักใคร่ว่าเป็นบุตร ตั้งชื่อให้ว่า อิสิสิงคกุมาร ในเวลาต่อมา พระมหาสัตว์ จึงให้อิสิสิงคกุมารผู้รู้เดียงสาแล้วบวช ในเวลาตนชราลง ได้พาดาบสกุมารนั้นไปสู่นารีวัน (ป่านารีผล) กล่าวสอนว่า

ลูกรัก ขึ้นชื่อว่าสตรีเช่นกับดอกไม้เหล่านี้ มีอยู่ในป่าหิมพานต์นี้ สตรีเหล่านั้นย่อมยังชนผู้ตกอยู่ในอำนาจตน ให้ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวงได้ ไม่ควรที่เจ้าจะไปสู่อำนาจของสตรีเหล่านั้น ดังนี้แล้ว

ครั้นในเวลาต่อมา ก็ทำกาลกิริยา เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ฝ่ายอิสิสิงคดาบส เมื่อประลองฌานกีฬาก็พักอยู่ในหิมวันตประเทศ ได้เป็นผู้มีตบะกล้า เป็นผู้มีอินทรีย์อันชำนะแล้วอย่างยวดยิ่ง

ครั้งนั้นพิภพของท้าวสักกเทวราชหวั่นไหว ด้วยเดชแห่งศีลของพระดาบส ท้าวสักกเทวราช ทรงใคร่ครวญดูก็ทราบเหตุนั้น ทรงพระดำริว่า พระดาบสนี้จะพึงยังเราให้เคลื่อนจากความเป็นท้าวสักกะ เราจักต้องส่งนางอัปสรคนหนึ่ง ให้ไปทำลายศีลของเธอ ดังนี้แล้ว ทรงพิจารณาเทวโลก ทั้งสิ้น ในท่ามกลางเหล่าเทพบริจาริกาจำนวนสองโกฏิครึ่งของพระองค์ มิได้ทรงเห็นใครอื่นซึ่งสามารถ ที่จะทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสได้ นอกจากนางเทพอัปสร ชื่ออลัมพุสาผู้เดียว จึงรับสั่งให้นางมาเฝ้า แล้วทรงบัญชาให้ทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสนั้น

นางอลัมพุสาเทพอัปสรนั้น เข้าไปหาอิสิสิงคดาบสนั้น ซึ่งประกอบความเพียรในกลางคืนแล้ว สรงน้ำแต่เช้าตรู่ ทำอุทกกิจเสร็จแล้ว ยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุขในบรรณศาลาหน่อยหนึ่ง จึงออกมากวาดโรงไฟอยู่ นางยืนแสดงความงาม ของหญิงอยู่ข้างหน้าของพระอิสิสิงคดาบสนั้น?

นางอลัมพุสา แสดงมายาหญิงเย้ายวน จนดาบสหนุ่มหลงใหล.. และในที่สุด ดาบสหนุ่มก็ถูกทำลายศีล...
 
ที่มา:http://www.learners.in.th/blogs/posts/443335

เปิดตำนาน 7 จอมปีศาจแห่งนรก



THE SEVEN DEADLY SINS เจ็ดมหาบาปที่ไม่สามารถอภัยได้ เจ็ดมหาบาปได้ถูกรวบรวมไว้โดย นักบุญ เกกอรี่ (St. Gregory the Great) ในศตวรรษที่6 ทั้งนี้ บาปทั้งเจ็ดนั้นก็ได้มีบทบาท โดย กลุ่ม ซัมมาเทววิทยา (Summa Theologica) ในศตวรรษที่13 ซึ้งได้แบ่งแยกและอถิบายโดยนักบุญโทมัส อาควีนัส (St. Tomas Aquinas) ว่าสิ่งเหล่านี้คือ "ตัณหา"

บาปเหล่านี้เป็นตัวแทนของการทำผิดศีลธรรม หรือเป็นการกระทำที่จะทำให้ไม่สามารถไปสู่สุขติ หรือ สวรรค์ได้

บาปเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นพิษร้ายแรง หรือเรื้อรัง ต่อจิตใต้สำนึก และจิตวิญญาณ
ทั้งเป็นการล้อลวง การหลงไหล การชักจูง ความต้องการ หรือแม้แต่สัญชาติญาณ
ใครที่ได้ลุ้มหลงไปกับมันจะได้พบแต่ความหายนะ ทั้งกายใจจิตวิญญญาณและคนรอบข้าง

แล้วทำไมต้องเป็นเลข 7 ?
เลขเจ็ดเป็นเลขที่มีพลังในตัวเอง อาทิตย์หนึ่งมีเจ็ดวัน เจ็ดมหาสมุทร สวรรค์มีเจ็ดชั้น เจ็ดเป็นเลขที่เป็นที่นิยมของจอมเวทย์โบราณที่ทำการปลุกเสก

มหาบาปทั้ง 7 นั้น พูดง่ายๆคือบาปที่ไม่สามารถอภัยบาปให้ได้
ซึ่งตามปรกติแล้วสำหรับชาวคริสต์ "บาปเบา" สามารถให้อภัยได้ โดยการไปสารภาพบาปกับบาทหลวง ทว่า มหาบาปทั้ง 7 นั้น จัดว่าเป็นบาปหนัก ไม่สามารถอภัยได้ ใครที่มีบาปนี้ติดตัวก็เหมือนมีรอยสักบนวิญญาณของตน ทำให้ไม่สามารถไปสู่สวรรค์ได้เมื่อวิญญาณออกจากร่าง

บาปทั้งเจ็ดนั้น ได้เป็นตัวแทนของจอมปีศาจทั้ง 7 ของนรก ซึ่งจะล่อลวงมนุษย์ให้ทำบาปนั้น

บาปทั้งเจ็ดนั้นได้แก่

PRIDE หรือ ความจองหอง
อวดตัว ดูหมิ่น และ ประมาทคนอื่นด้วยความคิด วาจา กิจการ
ปีศาจที่แทนบาปนี้ได้แก่ ลูซิเฟอร์ (Lucifer)

AVARICH หรือ ความตระหนี่ ถี่เหนี่ยว ไม่ทำบุญทำทานเอาแต่ทำงาน มีใจผูกพันแต่ทรัพย์สมบัติของโลกจนลืมพระเป็นเจ้า และลืมความหมายของชีวิต ความรอดของวิญญาณ
ปีศาจที่แทนบาปนี้ได้แก่ แมมม่อน (Mammon)

LUST หรือ อุลามก
ปล่อยตัวฟุ้งซ่านตามความสุขสนุกสบายฝ่านเนื้อหนัง ทำอุลามก ดูรูปภาพลามก เที่ยวในสถาณที่ไม่เหมาะสม
ปีศาจที่แทนบาปนี้ได้แก่ แอสโมดีอุส (Asmodius)

GLUTTONY หรือ โลภอาหาร
กินและจ่ายอย่างฟุ่มเฟือยโดยเห็นแก่ความสนุก ความชอบ ลุ่มหลง มัวเมา เสพติด
ปีศาจที่แทนบาปนี้ได้แก่ เบลเซบับ (Beelzebub)

ENVY หรือ ความอิฉฉา
ดีใจเมื่อท่านได้ ร้ายเสียใจเมื่อเขาได้ดีกว่า อิฉฉาทรัพย์สมบัติที่คนอื่นมี บาปนี้นำพาไปสู่การลักขโมย หรือแม้แต่การฆ่าฟันเพื่อได้ของสิ่งนั้นมา
ปีศาจที่แทนบาปนี้ได้แก่ ลีเวียร์ธาณ ( Leviathan )

ANGER หรือ ความโกรธ/โมโห
ปล่อยใจพลุ่งพล่านเดือดดาน เอาแต่ใจตัวเอง เป็นคนเจ้าอารมณ์ทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ยั้งคิด ไม่มีเหตุผล
ปีศาจที่แทนบาปนี้ได้แก่ ซาตาน (Satan)

SLOTH หรือ ความเกียจคร้าน
ไม่ทำการทำงาน ไม่ทำหน้าที่รับผิดชอบ สัปเพร่า ทำงานขาดตกบกพร่อง เล่นในเวลาทำงาน ขี้เกียจทำงาน หลับในหน้าที่
ปีศาจที่แทนบาปนี้ได้แก่ เบลเฟกอร์ (Belphegor)


ที่มา:http://conquering.exteen.com/20081127/entry-8